วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555
การสุขาภิบาล
การสุขาภิบาล
การสุขาภิบาล เป็นการมุ่งเน้นถึงการป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นกับไก่ การสุขาภิบาลที่ดีจะต้องทำให้ไก่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แข็งแรงสมบูรณ์ เจริญเติบโตดีให้ผลผลิตสูง ทำให้ผู้เลี้ยงมีความมั่นคงในอาชีพ แต่ในสภาพปัจจุบันมีโรคต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากกับไก่ ดังนั้น การปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอย่างเคร่งครัดจะเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของการเลี้ยงให้ได้ประโยชน์สูงสุด
งานส่งเสริมการเลี้ยงไก่เนื้อครบวงจร (2549) ได้กล่าวถึงวิธีการป้องกันและควบคุมโรคดังต่อไปนี้
1. การทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ มีการเน้นด้านการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อมากขึ้น บางฟาร์มมักฆ่าเชื้อมากกว่าหนึ่งครั้ง และใช้ยาฆ่าเชื้อมากกว่าหนึ่งชนิด
2. พื้นเล้าต้องเป็นพื้นคอนกรีตขัดมัน เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. มีการเน้นด้านการพักเล้ามากขึ้น
4. ควรเลี้ยงไก่อายุเดียวกันทั้งฟาร์ม การเลี้ยงไก่หลายอายุในฟาร์มเดียวกันจะควบคุมโรคได้ยาก เนื่องจากมักมีไก่เป็นโรควนเวียนอยู่ในฟาร์มอย่างต่อเนื่อง
5. การควบคุมโรคเข้าฟาร์มจากคน สัตว์ และยานพาหนะต่าง ๆ
6. การทำวัคซีนป้องกันโรคที่เหมาะสม
การป้องกันโรคในไก่กระทงที่นิยมใช้กันมาก คือ การทำวัคซีนผู้เลี้ยงไก่ควรวางแผนกำหนดเวลาทำวัคซีนไก่ที่เลี้ยงแต่ละรุ่นให้แน่นอนและเหมาะสมกับอายุและชนิดของวัคซีน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ม.ป.ป.) ได้ให้คำแนะนำและจัดโปรแกรมวัคซีนไก่กระทง ดังนี้
การให้น้ำและอาหาร
การให้น้ำและอาหาร
การให้น้ำให้อาหารต้องให้อย่างเต็มที่ มีอุปกรณ์ให้น้ำและอาหารเพียงพอกับ จำนวน ลูกไก่ การแขวนอุปกรณ์ให้อาหารควรแขวนโดยให้ขอบบนของจานรองถังอาหารสูงกว่าระดับหลังไก่ประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) การให้อาหารควรให้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง น้ำที่ ใช้เลี้ยงไก่ควรเป็นน้ำที่สะอาด มีคุณภาพดี ปราศจากสิ่งเจือปนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของไก่ และ ควรมีน้ำให้ไก่อย่างเพียงพอและตลอดเวลาถ้าใช้ขวดน้ำต้องใช้อย่างน้อย 14 – 20 กระติกต่อไก่ 1,000 ตัว ถ้าเป็นแบบจุ๊บน้ำหรือถ้วยควรใช้ 1 หัวต่อไก่ 10 – 15 ตัว ตรวจสอบจุ๊บน้ำให้อยู่ ใน สภาพดีไม่มีน้ำหยด
ลักษณะของอาหาร
1. อาหารข้น หรือหัวอาหาร (concentrates) เป็นอาหารเข้มข้นที่ผสมจากวัตถุดิบเหล่าโปรตีนจากพืช สัตว์ ไวตามิน แร่ธาตุและยาต่างๆ ยกเว้นธัญพืชหรือวัตถุดิบบางอย่างทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมและลดต้นทุนค่าอาหารของผู้ซื้อแต่ละท้องถิ่นที่มีวัตถุดิบอื่นบางอย่างราคาถูกหรือที่ปลูกเก็บเกี่ยวเอง อาทิเช่น ปลายข้าว ข่าวโพดและรำละเอียด เมื่อผสมกับอาหารข้นตามอัตราส่วนที่กำหนดก็จะได้อาหารสมดุลซึ่งมีโภชนะต่างๆครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายสัตว์แต่ละชนิด
2. อาหารสมดุล (complete or balance ratio) หรืออาหารผสมเสร็จ (formula feed) อาหารผสมที่มีโภชนะต่างๆครบถ้วนตามชนิดและอายุสัตว์สามารถให้การเจริญเติบโตและผลผลิตได้สูงโดยไม่ต้องเติมอาหารอย่างอื่นเพิ่มลงไปอีกมีอยู่ 3 ลักษณะได้แก่
2.1 อาหารป่น (mash feed) เป็นอาหารที่ผสมจากวัตถุดิบที่ละเอียดแล้วหลายๆอย่างคลุกเคล้าให้เข้ากันโดยมากจะเติมยาปฎิชีวนะ ไวตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนที่จำเป็นลงไปด้วย แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ อาหารป่นแห้ง (dry mash) และอาหารป่นเปียก (wet mash) ข้อดีคือสะดวกในการจัดการและต้นทุนในการผลิตต่ำ ข้อเสีย อาหารสูญเสียมากและขบวนการผลิตไม่ดีสัตว์อาจจะเลือกกินเฉพาะวัตถุดิบบางชนิดทำให้ได้รับโภชนะไม่ครบตามร่างกายต้องการ
2.2 อาหารเม็ด (pellet feed) เป็นอาหารป่นที่นำมาอัดเป็นเม็ด อาจจะใช้ไอน้ำช่วยหรือไม่ใช่ก็ได้มีข้อดีคือช่วยให้ไก่กินอาหารได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหาร ทำให้อาหารสูญเสียน้อยลงแต่มีข้อเสียคือ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและในลูกไก่จะกินไม่สะดวกเม็ดอาหารจะใหญ่เกิน
2.3 อาหารอัดเม็ดตีแตก (crumble feed ) เป็นอาหารอัดเม็ดแต่นำมาตีให้แตกโดยมีขนาดอยู่ระหว่างอาหารป่นกับอาหารเม็ดไม่หยาบหรือละเอียดจนเกินไปปัจจุบันนิยมใช้มากสุด
โรงเรือนและอุปกรณ์
โรงเรือนและอุปกรณ์
โรงเรือน
โรงเรือนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเลี้ยงไก่ การออกแบบโรงเรือนได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมจะทำให้ไก่อยู่อย่างสบาย มีการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตดี แต่สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ดังนั้นจึงมีปัญหาเกี่ยวกับอากาศร้อน การออกแบบโรงเรือน จึงควรเน้นทางด้านการระบายอากาศที่ดี (อาวุธ, 2538)
การระบายอากาศในโรงเรือน
สภาพอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงไก่ คือ ประมาณ 65 – 75 องศาฟาเรนไฮต์ (18.3 – 23.9 องศาเซลเซียส) ไก่จะเริ่มอึดอัดและสมรรถภาพการผลิตลดลง ความร้อนภายในโรงเรือนเกิดจากการแผ่รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ผ่านหลังคาเข้ามาภายในโรงเรือน และความร้อนจากการเมแทบอลิซึมของตัวไก่เอง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นไก่จะกินอาหารน้อยลง การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตลดลง ความสมบูรณ์พันธุ์ต่ำลง อัตราการตายสูงขึ้น ไก่จะกินน้ำมากขึ้นและเพิ่มอัตราการหายใจ การระบายอากาศจะช่วยลดอุณหภูมิภายในโรงเรือน ระบายความชื้น กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจและกำจัดก๊าซแอมโมเนียม เป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศเมื่อเกิดก๊าซนี้ขึ้นจะกระจายอยู่ในฝูงไก่ อัตราการระบายอากาศภายในโรงเรือนจะแตกต่างกันตามชนิดของโรงเรือน ขนาดไก่ ความหนาแน่นของฝูง และอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม (อาวุธ, 2538)
ประเภทของโรงเรือน
อรวรรณ (2547) ได้จัดแบ่งประเภทของโรงเรือนไว้ 2 ประเภท ดังนี้
1.โรงเรือนระบบเปิด (open house) หมายถึง โรงเรือนที่อากาศเข้าออกในโรงเรือนได้ สภาพแวดล้อมในโรงเรือนจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพภูมิอากาศภายนอก ซึ่งโรงเรือนแบบเปิดนั้น ไก่จะอยู่ไม่สบายและให้ผลผลิตต่ำ
2.โรงเรือนระบบปิดหรือโรงเรือนระบบระเหยไอเย็นจากน้ำ (evaporative cooling system Evap) หมายถึง โรงเรือนที่ควบคุมสภาพแวดล้อมภายใน เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงไก่ ผนังโรงเรือนจะปิดทึบ และบังคับอากาศที่จะผ่านเข้าโรงเรือนให้ผ่านแผ่นทำความเย็นที่มีน้ำไหล ผ่านทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำลงและมีระบบดูดอากาศออกภายนอกโรงเรือน
โรงเรือนที่ใช้ในการทดลองนี้เป็นโรงเรือนระบบปิด มีพัดลมและแผ่นทำความเย็นอยู่คนละด้านของโรงเรือน โดยแผ่นทำความเย็นจะอยู่ส่วนต้นของโรงเรือน พัดลมจะอยู่ด้านท้ายของโรงเรือน โดยผ่านแผ่นรังผึ้งที่เปียกน้ำทำให้อากาศเย็นลง จากนั้นจะผ่านเข้าในโรงเรือนแล้วสะสม ความร้อนจากตัวไก่และความชื้นในโรงเรือนไปตลอดทาง สุดท้ายจะถูกพัดลมดูดออกไปจากโรงเรือน โรงเรือนจะต้องปิดมิดชิด ไม่มีรอยรั่วที่อากาศภายนอกจะเข้าในโรงเรือนได้เลย ยกเว้นเข้าทางแผ่นทำความเย็นทางเดียวเท่านั้น ด้านนอกโรงเรือนหน้าแผ่นทำความเย็นติดตั้งมุ้งลวดป้องกันแมลงและหนูไม่ให้เข้าในโรงเรือน
ส่วนประกอบที่สำคัญของโรงเรือนระบบปิดที่ อวรวรรณ (2547) กล่าวไว้มี ดังนี้
1. แผ่นทำความเย็น (cooling pad) มีหน้าที่ทำให้น้ำกระจายตัวมากขึ้น ทำให้การระเหยของน้ำดีขึ้น และทำให้อุณหภูมิของอากาศในแผ่นทำความเย็นต่ำกว่าบริเวณข้างเคียง แผ่นทำ ความเย็นทำจากกระดาษแล้วเคลือบด้วยเซลลูโลส เรียกว่า แผ่นรังผึ้ง หรือทำจากมุ้งไนล่อน
2. พัดลมดูดอากาศ (exhaust fan) มีหน้าที่ดูดอากาศจากภายในโรงเรือนออก ลดการสะสมของความร้อน ความชื้น และก๊าซต่าง ๆ
3. ท่อส่งและกระจายน้ำ (piping and pump) ทำหน้าที่ส่งน้ำและกระจายน้ำจากบ่อพักไปหล่อเลี้ยงแผ่นทำความเย็น โดยท่อที่ติดตั้งไว้เหนือแผ่นทำความเย็น
4. บ่อพักน้ำ (sump) มีหน้าที่เก็บพักน้ำเพื่อให้ไหลผ่านท่อส่งน้ำและกระจายน้ำ โดยใช้ปั๊มน้ำ ดูดน้ำจากบ่อพักซึ่งควรมีความจุ ¾ แกลลอน ต่อพื้นที่แผ่นทำความเย็น 1 ตารางฟุต
5. ผ้าม่านกันลม (curtain) ใช้ปิดด้านข้างโรงเรือนทั้ง 2 ด้าน ทำจากพลาสติกหรือพีวีซีที่ผสม UV protect เพื่อไม่ให้ผ้าม่านกรอบ เมื่อต้องถูกแสงแดดนาน ๆ
6. ชุดควบคุมอุณหภูมิ (thermostat) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ควบคุมการทำงานของพัดลมและปั๊มน้ำ เนื่องจากโรงเรือนแต่ละโรงเรือนมีพัดลมหลายตัว เพื่อช่วยระบายอากาศหากอุณหภูมินอกโรงเรือนเย็นสบายอาจไม่ต้องเปิดพัดลมทุกตัว
7. ชุดสัญญาณเตือนกระแสไฟฟ้าขัดข้อง (electrical alarm) เป็นอุปกรณ์เสริมช่วยส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าไฟฟ้าดับที่โรงเรือนใดบ้าง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับฝูงไก่ในโรงเรือนนั้น ๆ ได้
อุปกรณ์
อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเลี้ยงไก่และควรมีประจำโรงเรือนต้องมีความพอเพียงต่อจำนวน
ไก่กระทงที่จะเลี้ยง อุปกรณ์ที่จำเป็นที่ อรวรรณ (2547) กล่าวไว้มีดังนี้
1. อุปกรณ์ให้น้ำ เช่น ขวดน้ำพลาสติก รางน้ำอัตโนมัติที่ให้น้ำแบบจุ๊บ (nipple)
2. อุปกรณ์ให้อาหาร เช่น ถาดอาหาร ถังอาหาร รางอาหาร รางอาหารแบบอัตโนมัติ
3. อุปกรณ์ในการกกลูกไก่ เช่น เครื่องกกแบบใช้แก๊ส เครื่องกกใช้ไฟฟ้า แผงกั้น ล้อมกก
4. อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ให้วัคซีน อุปกรณ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในโรงเรือนและอุปกรณ์
การจัดการเลี้ยงดู
การจัดการเลี้ยงดู
การเลี้ยงไก่กระทงในปัจจุบันต้องอาศัยการจัดการหลายอย่างที่สัมพันธ์กันเพื่อจุดประสงค์ คือ การผลิตที่มีประสิทธิภาพ ได้น้ำหนักตามเป้าหมาย เปอร์เซ็นต์การเลี้ยงรอดสูงและต้นทุนการผลิตต่ำสุด การจัดการฟาร์มที่ดีอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของการเลี้ยงไก่ให้มีประสิทธิภาพ ที่ดี
จิโรจ (2547) และงานส่งเสริมการเลี้ยงไก่เนื้อครบวงจร (2549) ได้จัดแบ่งการจัดการเลี้ยงดูไก่กระทงเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
1. การจัดการระยะกก
ระยะกกเป็นระยะสำคัญที่ต้องการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกไก่ยังเล็กเกิดปัญหาสุขภาพและตายได้ง่าย ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการดูแล ดังนี้
1.1 การเตรียมโรงเรือนและสถานที่กก
ก่อนนำไก่เข้าเลี้ยงต้องเตรียมโรงเรือนให้สะอาดเพื่อลดโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรค การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคโรงเรือนให้พิจารณาทำตามลำดับก่อนและหลัง ดังนี้
1.1.1 นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกจากโรงเรือน
1.1.2 นำวัสดุรองพื้นเก่าออกจากโรงเรือน
1.1.3 ล้างโรงเรือน
1.1.4 ฆ่าเชื้อทุกซอกทุกมุมในโรงเรือน
1.1.5 ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ ทิ้งตากแดดไว้หรือเก็บในที่สะอาด
1.1.6 ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อระบบให้น้ำและระบบให้อาหารทั้งระบบ
1.1.7 นำวัสดุรองพื้นใหม่เข้าโรงเรือน ซึ่งส่วนมากใช้แกลบ เกลี่ยวัสดุรองพื้นให้มีความหนา 8 – 10 เซนติเมตร แล้วพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นละอองลงบนวัสดุรองพื้นก่อนนำลูกไก่ เข้า
1.1.8 ติดตั้งแผงกั้นและเครื่องกกลูกไก่ โดยพยายามไม่ให้มีซอกมุม เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกไก่เข้าไปนอนสุมกัน แผงล้อมกกควรทำความสะอาดง่ายและมีลักษณะทึบไม่มีรูหรือตาข่าย เพื่อช่วยในการเก็บความร้อนจากเครื่องกก ในช่วง 1 – 3 วันแรก อาจใช้พื้นที่การเลี้ยงลูกไก่ที่ความหนาแน่นลูกไก่ 20 – 30 ตัวต่อตารางเมตร เครื่องกกไฟฟ้าหรือกกแก๊สปกติจะใช้กกลูกไก่ 500 ตัวต่อ 1 เครื่องกก ควรขยายแผงกั้นกกทุก ๆ 2 วัน เพื่อให้มีพื้นที่เหมาะสมให้ลูกไก่อยู่อย่างสบาย ในการติดตั้งเครื่องกกควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับชนิดของเครื่องกกโดยให้ลูกไก่ได้รับความอบอุ่นที่เหมาะสมที่สุด เปิดเครื่องกกอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมง ก่อนลูกไก่มาถึงฟาร์ม
1.1.9 จัดเตรียมอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำให้พร้อมและเพียงพอกับจำนวนลูกไก่ ในการวางอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ ควรวางสลับกัน การวางอุปกรณ์ให้น้ำควรมีวัสดุรองให้สูง ขึ้นประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนของวัสดุรองพื้นลงน้ำ
1.2 การจัดการเมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม
เมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม ควรนำกล่องลูกไก่เข้าโรงเรือนทันที ชั่งน้ำหนักลูกไก่ ต่อกล่อง ตรวจดูสภาพลูกไก่ นับจำนวนลูกไก่ จดบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ปล่อยลูกไก่ลงกกและควรให้น้ำผสมวิตามินให้ไก่กินอย่างทั่วถึง หลังจากไก่กินน้ำประมาณ 30 นาที จึงวางถาดอาหารแล้วโรยอาหารลงในถาดให้ไก่กินอย่างทั่วถึง ควรให้อาหารน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งเพราะจะช่วยกระตุ้นให้ลูกไก่กินอาหารได้มากขึ้น เมื่อลูกไก่อายุได้ 6 – 7 วัน ควรเปลี่ยนอุปกรณ์การให้น้ำ เป็นแบบจุ๊บและอุปกรณ์ให้อาหารเป็นแบบถังอาหาร
1.3 การให้น้ำและอาหาร
การให้น้ำจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา อุปกรณ์ให้น้ำต้องสะอาดและเพียงพอกับความต้องการของไก่ การให้อาหารไก่เล็กควรให้น้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการหกหล่นและอาหารสดอยู่เสมอ อาหารจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา
1.4 การให้ยาและวิตามิน
ในสภาวะปกติลูกไก่ที่สมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือวิตามินใด ๆ การให้ยามักให้ในกรณีที่ลูกไก่ไม่ค่อยสมบูรณ์หรือสงสัยว่ามีเชื้อแบคทีเรีย มักให้ 3 – 5 วัน การให้วิตามินเพื่อเสริมสิ่งที่ร่างกายต้องการซึ่งอาจมีไม่พอในสูตรอาหาร หรือเกรงว่าสิ่งที่มีอยู่ในอาหารอาจเสื่อมคุณภาพลง โดยเฉพาะในกรณีลูกไก่คุณภาพไม่ค่อยดีนัก
1.5 การจัดการแสงสว่าง
ลูกไก่ต้องการแสงที่ค่อนข้างสว่างในช่วงอายุสัปดาห์แรก เพื่อให้ลูกไก่เห็นน้ำ และอาหารอย่างชัดเจน และเป็นการกระตุ้นการกินน้ำและอาหารของลูกไก่ด้วย ความเข้มของแสงไม่น้อยกว่า 50 ลักซ์ ที่ระดับตัวลูกไก่ เมื่อลูกไก่อายุ 7 วันแรก
1.6 การควบคุมอุณหภูมิ
ลูกไก่อายุ 7 วันแรก มีขีดจำกัดในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อลูกไก่อายุ 1 วัน อุณหภูมิของร่างกายประมาณ 39.7 องศาเซลเซียส และจะค่อย ๆ ปรับสูงขึ้น อุณหภูมิที่ร้อนเกินไปมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ขณะที่อุณหภูมิเย็นเกินไปไก่จะสุมกันและทับกันตาย ไก่ที่เหลือจะโตช้าและมีขนาดไม่สม่ำเสมอ อุณหภูมิที่เย็นเกินไปยังเป็นสาเหตุโน้มนำให้ลูกไก่ท้องมานมากขึ้น อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่การกกต้องไม่ต่ำกว่า 31 องศาเซลเซียส สำหรับลูกไก่ในช่วงอายุสัปดาห์แรก
2. การจัดการไก่กระทงระยะรุ่นถึงตลาด
การเลี้ยงไก่กระทงในช่วงระยะรุ่นจนถึงตลาด (2 สัปดาห์ขึ้นไป) มีความสำคัญเช่นเดียวกับในระยะกก เนื่องจากไก่กระทงมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อสูง จึงเป็นสาเหตุทำให้ไก่เกิดความเครียด โดยทั่วไปจะเลี้ยงไก่กระทงแบบปล่อยพื้นมีวัสดุรองพื้นจำพวกแกลบหรือขี้เลื่อยจะใช้พื้นที่การเลี้ยง 8 – 10 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)